เราคงเคยได้ยินว่า มือที่กำเอาไว้จนแน่นไม่ยอมปล่อยวางย่อมสูญเสียโอกาสที่จะได้ให้และรับ ส่วนมือที่แบออกและพร้อมช่วยเหลือหยิบยื่นมักเป็นมือที่ไม่เคยว่างจากการให้และรับ เพราะมือและหัวใจที่รู้จักเปิดกว้างจะเกิดการแลกเปลี่ยนและแบ่งปัน อันเป็นกลไกในการเกิดและดำรงอยู่ของมิตรภาพ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทุกแห่งหนไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน โรงเรียน ที่บ้าน หรือแม้แต่ในสวนแสนรักของเรา
เมื่อพูดถึงมิตรภาพในสวน ในที่นี้หมายถึงมิตรภาพระหว่างเรากับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ในสวนของเรา มีเงื่อนไขง่ายๆเพียงสองประการก็คือความช่วยเหลือเกื้อกูลและไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
คนรักสวน…ไม่ว่าจะเป็นรักสุดท้ายหรือรักแรก จะต้องรู้จักปรับใจให้เป็นมิตรกับธรรมชาติก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะเกิดอาการผิดหวังอกหักได้ตลอดเวลา เพราะธรรมชาตินั้นมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หากเปรียบเป็นคนก็คือพวกที่จะเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ แม้จะมีฤดูกาลแบ่งไว้พอเป็นพิธี แต่เมื่อถึงเวลาจะฝนตกแดดออกหรือมีพายุฟ้าคะนองลูกเห็บตก ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า และถึงรู้ก็จะไปห้ามเขาไม่ได้
ธรรมชาติเป็นเพื่อนผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบทำอะไรตามใจเราและทำอะไรให้เราเดือดร้อนไม่สบอารมณ์บ้างเป็นบางคราว แต่ธรรมชาติก็คือผู้ให้ชีวิตและมอบช่วงเวลาแห่งความสุขให้เรามามากมาย นอกจากเราจะต้องสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติแล้ว การทำสวนซึ่งเป็นกิจกรรมแห่งปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติโดยตรงจึงต้องทำใจให้ยอมรับกับความเป็นธรรมชาติให้ได้เป็นอันดับแรก เพราะตัวเราและสวนของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเช่นเดียวกัน
ธรรมชาติที่เราพึงเรียนรู้เพื่อมิตรภาพอันงดงามของสวน คือ ธรรมชาติของสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทิศทางของแดด ลม ฝน ทางน้ำไหล ดิน หิน กรวด ทราย แร่ธาตุในดิน รวมถึงสรรพชีวิตรอบข้าง ไม่เว้นแม้แต่หนอน แมลง และไส้เดือน ที่แวดล้อมอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ล้วนเป็นเงื่อนไขในการเลือกสรรลักษณะพันธุ์พืชและการกำหนดรูปแบบของสวน การไม่พยายามหักหาญ ทำลาย หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะดั้งเดิมของธรรมชาติจนถึงขั้นเบียดเบียนชีวิตและสภาพแวดล้อมเดิมของสิ่งต่างๆในพื้น คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับการจัดสวนอย่างเป็นมิตรกับธรรมชาติ เพราะลักษณะการออกแบบจัดวางและลักษณะพืชพันธุ์ที่เหมาะกับธรรมชาติพื้นที่ จะเอื้ออำนวยให้สวนของเราดำรงอยู่ได้อย่างงดงามโดยไม่ต้องใช้การดูแลหรือปรุงแต่งมากมายจนเกินไปนัก
ยกตัวอย่างเช่น หากพื้นที่ดินเดิมในสวนของเรามีต้นไม้ใหญ่ และเราต้องการรักษาความเป็นธรรมชาตินั้นไว้ไม่ต้องการตัดทิ้งทำลาย เราก็ควรทำความเข้าใจว่า ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่อาจปลูกหญ้าบางชนิดไม่ขึ้นเพราะหญ้าเป็นพืชที่ต้องการแดดจัด หากปล่อยเป็นดินก็อาจเลอะเทอะเวลาเปียกน้ำหรือฝนตกเป็นขี้โคลนดูไม่สวย แทนที่จะปลูกหญ้าก็หาไม้พุ่มเตี้ยหรือไม้คลุมดินที่ชอบร่มมาปลูกแทน โดยต้องเข้าใจอีกว่า พื้นที่สวนในที่ร่มและชื้นนั้นอาจจะเป็นทำเลที่ถูกใจของเพื่อนตัวน้อยที่เราไม่ปลื้มอย่างงูและสัตว์เลื้อยคลานประเภทยึกยือทั้งหลาย ถ้าเราไม่รังเกียจกับข้อเท็จจริงนี้ ก็อาจกำหนดพื้นที่สวนบริเวณรกครึ้มเอาไว้ได้เพื่อความสวยงามของทิวทัศน์และบรรยากาศหากเรามีพื้นที่มากพอ และยอมไม่ใช้พื้นที่บริเวณดังกล่าวสำหรับการปูเสื่อนอนหรือใช้เป็นที่เล่นของเด็กๆ เพราะอาจเกิดอันตราย แต่มีไว้เป็นบริเวณพักสายตาสำหรับการมองเห็นจากภายในบ้าน ดังนี้เป็นต้น
มิตรภาพกับต้นไม้ประเภทต่างๆที่เรานำมาจัดหรือปลูกไว้ด้วยกันก็สำคัญ โครงสร้างหลักๆของสวนทั่วไปก็มักประกอบด้วย ไม้ยืนต้นสำหรับให้ร่มเงา ไม้พุ่มสูงเพื่อกั้นสายตา ไม้พุ่มขนาดกลางเพื่อแบ่งพื้นที่ ไม้พุ่มเตี้ยและไม้คลุมดินเพื่อการตกแต่งพื้น รวมไปถึงไม้เลื้อยเพื่อการประดับและสร้างความอ่อนหวานให้กับสวน ซึ่งต้นไม้แต่ละประเภทก็มีความเข้ากันได้และเข้ากันไม่ได้เหมือนคนที่มีความชอบอันแตกต่างหลากหลาย การที่เราจะเป็นมิตรกับต้นไม้ก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยศึกษาว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร ไม่ใช่จัดวางให้ดูสวยตามใจเราอย่างเดียวแต่เป็นการบังคับให้เขาต้องมายืนต้นผิดที่ผิดทาง เช่น เอาไม้แดดไปไว้ในร่ม เอาไม้ในร่มมาตากแดด เอาไม้ที่ชอบชื้นมาไว้ในที่แห้ง แต่ดันรดน้ำไม้ที่ชอบความแห้งจนแฉะรากเน่า หรือเอาไม้ที่มีหนามมาปลูกไว้ตรงทางเดิน เวลาใครจะผ่านไปมาก็โดนหนามเกี่ยวเอา ทำให้ต้นไม้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งใครโดนแช่งด่าทุกคราวที่มีคนโดนหนามเกี่ยว จนในที่สุดต้องไปเบียดเบียนเขาหรือฟันทิ้งให้ตายไปอย่างไร้ค่า ต้นไม้ก็เหมือนคน หากจะผูกมิตรกันแล้วก็ควรเกื้อกูลดูแลให้เขาได้ยืนต้นและเติบโตขึ้นอย่างเป็นสุข ไม่ไปทำร้ายรังแกหรือทรมานเขาให้เกิดบาปกรรม เพราะต้นไม้พูดไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ได้ กว่าจะรู้ว่าเราไปทำร้ายเขาจนเจ็บป่วย บางทีก็ใบร่วงเหลืองโกร๋นหรือรากเน่าจนเกินเยียวยาแล้ว
เมื่อเรารักที่จะมีสวน สิ่งมีชีวิตที่จะแวะมาทักทายและอาศัยเป็นสัตว์เลี้ยงที่เราไม่ได้เชื้อเชิญก็มีมาก การดูแลสวนให้สวยของคนหลายคนจึงต้องเกลือกกลั้วอยู่กับการทำบาปเพราะต้องทำลายชีวิตเล็กๆที่เข้ามาอาศัยแต่เจ้าของสวนไม่ปรารถนาอยู่ทุกวัน การทำสวนที่ดีจึงต้องใช้ความเมตตาเป็นที่ตั้ง หากคุณไม่ได้ปลูกผักหรือเก็บผลดอกใบของพืชที่ปลูกไว้เพื่อไปขายส่งลูกเรียน ก็ขอให้มีหัวใจอ่อนโยนต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เขามาพึ่งพิงอาศัย หากสิ่งมีชีวิตใดที่มาอาศัยอยู่อย่างเจียมตัว ไม่ทำลายเบียดเบียนสวนและสวัสดิภาพของคนก็โปรดเมตตาให้เขาได้อยู่ แต่ถ้าสิ่งมีชีวิตใดที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนก็จงไล่เขาไปอย่างสุภาพ โปรดอย่าใช้วิธีทำลายล้างหรือเข่นฆ่าให้พินาศล้างเผ่าพันธุ์ เพราะสัตว์ทุกชนิดก็รักชีวิตเหมือนกับเรา
และเนื่องจากในสวนนั้นไม่ได้มีแต่ผีเสื้อแสนสวย หากมีปัญหาสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือมีแมลงศัตรูพืชเข้ามาในสวน และต้องการจะไล่ไปเสียก็ควรศึกษาหาวิธีทางชีวภาพซึ่งมีให้ค้นคว้าสารพัดรูปแบบทั้งในหนังสือและในอินเตอร์เน็ต ซึ่งไม่ก่อให้เกิดมลพิษ สารพิษตกค้าง ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายสุขภาพและชีวิตทั้งของสัตว์เหล่านั้นและของตัวเองให้เป็นบาปเป็นกรรมโดยใช่เหตุ เช่น แทนที่จะไปซื้อยาฆ่าแมลงสูตรหัวกะโหลกไขว้มาฉีดไล่เพลี้ย หรือไล่ตีงูเขียวจนตายคามือ ก็ลองหาสูตรยาชีวภาพจากภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น เหล้าขาวผสมยาฉุนฉีดไล่แมลง หรือสารชีวภาพสำหรับไล่สัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งมีกลิ่นไม่รบกวนจมูกคนและสัตว์เลี้ยง และไม่มีพิษร้ายแรงถึงชีวิต มาฉีดกำจัดแทนดังนี้เป็นต้น
ชีวิตคนเราทุกวันนี้ มีความเครียดและการเบียดเบียนกันมากพอแล้ว หากเราหวังจะให้ช่วงเวลาดีๆในสวนสวยเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข จึงต้องให้เวลาและให้ใจกับการเป็นมิตรที่ดีของธรรมชาติ ทั้งกรวด ดิน หิน ทราย ต้นไม้ และสรรพสัตว์ เรื่อยไปจนถึงจุลินทรีย์ในดิน ฯลฯ ให้เกิดความรักใคร่สนิทสนมคุ้นเคย เข้าใจในกันและกันอย่างถ่องแท้ เพื่อที่ธรรมชาติจะได้หันด้านดีๆ มายิ้มหวานให้หัวใจเราสดชื่นและเป็นสุข…จริงไหม